SAMSUNG WB 500 24mm ULTRA WIDE

สวัสดีปีใหม่แบบไทย ๆ นะครับพี่น้องชาว TechXcite ทุกท่าน หลังจากที่เราได้พักผ่อนกับวันหยุดที่แสนสุข(รึป่าวหว่า...) กับเทศกาลปีใหม่แบบไทย ๆ ที่ผ่านมาไปแล้ว วันนี้ผมมีกล้อง Digital มาแนะนำให้พี่น้องได้ชมกันดู กับกล้อง Digital Compact ที่มีเลนส์กว้างสุด ๆ ถึง 24mm.(กว้าง....สุดสู๊ด!!!!)

เมื่อเทียบกับ Digital Compact โดยทั่วไปนั้นยังใช้หน้าเลนส์เพียง 28mm. เท่านั้น ทำให้เราสามารถเก็บภาพในมุมกว้างได้อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องถอยห่างจากแบบให้เสียเวลาและแน่นอนความพิเศษยังไม่หมดเพียงเท่านี้ นอกจากความกว้างของเลนส์จากตัวกล้องแล้ว ช่วงซูมก็ไม่น้อยหน้า โดยระบบ Optical Zoome นั้นมีความยาวถึง 10X ถือว่าไกลมากถ้าเทียบกับตระกูล Digital Compact ด้วยกัน

Body&Design

ด้านหน้าจะสังเกตได้ว่าตัวเลนส์นั้นมีขนาดที่ใหญ่มาก แน่นอนครับว่าสำหรับ Samsung เป็นกล้องที่มีคุณภาพที่ดีโดยเนื้อเลนส์ผลิตจาก Schneider จากประเทศเยอรมันนี ทำให้ภาพที่ออกมาเกิดความคมชัดและใส อย่างแทบไม่มีที่ติ โดยมีขนาดหน้าเลนส์กว้างถึง 24mm

ด้านบนเป็นส่วนในการควบคุมการใช้กล้อง โดยด้านขวามือ (จากภาพ) จะมีในส่วนปุ่มหมุนสำหรับเลือกโหมดต่าง ๆ ต่อมาเป็นส่นของปุ่มชัตเตอร์ (ปุ่มสีน้ำเงิน) และในจุดเดียวกันเป็นกะรเดื่องไว้ซูมโดยสามรถเลื่อนไปด้านซ้าย (W:มุมกว้าง) ด้านขวา (T:มุมไกล) ต่อไปเป็นส่วนของปุ่มเปิดตัวกล้อง และลำโพง (สำหรับเปิดเล่นใน MODE เล่น VDO และ เสียง)

ด้านหลังของเครื่องจะเป็นในส่วนของการปรับแต่งแล่ะแสดงผล โดยด้านซ้ายมือของตัวกล้อง จะเป็นหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่สุด ๆ ถึง 2.7 นิ้ว มาทางด้านขวาจะป็นส่วนของการตั้งค่าในการถ่ายต่าง ๆ โดยส่วนควบคุมต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้

รายละเอียดของ Samsung WB500

Tripod หรือ ที่เราเรียกติดปากกันว่า"ขาตั้ง"เป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นชนิดที่เรียกว่า แทบจะขาดกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะผู้ที่นิยมชมชอบกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ หรือการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย การเลือกขาตั้งที่เหมาะสมนั้น นอกจากจะต้องเลือกขนาดให้เหมาะสมกับความสูงของผู้ใช้แล้ว ยังต้องคำนึงถึงความแข็งแรงและน้ำหนักที่เหมาะสมกับการใช้งานอีกด้วย

บ่อยครั้งที่เราอยากได้ขาตั้งที่ขนาดใหญ่และแข็งแรง แต่เราก็มักจะยอมแพ้เมื่อพูดกันถึงเรื่องน้ำหนัก โดยเฉพาะหากต้องแบกเดินป่ากันไกลๆ ขึ้นเขาชันๆ หลายคนก็อาจจะออกอาการยอมแพ้เอาง่ายๆ พอเลือกขาตั้งที่มีน้ำหนักเบาก็มักจะมีปัญหาเรื่องความแข็งแรงหรือขาดความ มั่นคง จึงดูเป็นเรื่องสวนทางกันบ่อยๆเพราะขาตั้งที่แข็งแรงมักจะหนักจนเกินงาม

อันที่จริงแล้วความแข็งแรงและมั่นคงของขาตั้งนั้น จะมีปัจจัยสำคัญที่มาเกี่ยวข้องด้วยก็คือ ลักษณะการออกแบบ และ การเลือกใช้วัสดุ ในปัจจุบันเราคงจะไม่เห็นขาตั้งที่ใช้วัสดุจำพวกเหล็กกล้ากันแล้วนะครับ แต่เราจะพบขาตั้งที่ผลิตจากวัสดุจำพวกอลูมินั่มอัลลอย (aluminum alloy) หรือ บางครั้งอาจจะมีการเจือแมกนีเซียม(magnesium)เข้าไป เพื่อลดน้ำหนัก แต่ยังคงไว้ซึ่งความแข็งแรงเช่นเดิม นอกจากวัสดุจำพวกโลหะแล้ว อโลหะก็สามารถนำมาใช้เป็นวัสดุในการผลิตได้เช่นกัน

ในบรรดาวัสดุจำพวกอโลหะนั้น คาร์บอนไฟเบอร์(carbon fiber)ก็จัดเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในวงการอุตสาหกรรมหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬา เช่น ก้านไม้กอล์ฟ , ท่อของจักรยานเสือภูเขาและเสือหมอบ รวมไปถึงอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้อีกหลายๆอย่าง แม้แต่ในรถแข่งก็ยังมีการเลือกใช้วัสดุชนิดนี้




Benro เป็นบริษัทที่ผลิตขาตั้งและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องจากประเทศสาธารณรัฐประชาชน จีน โดยเลือกใช้ระบบการทำงานและโครงสร้างที่ผสมผสานมาจากผลิตภัณฑ์ที่เราเคย รู้จักกัน Benroเองนั้นได้ผลิตขาตั้งกล้องอยู่หลายรุ่น หลายขนาด ทั้งที่ผลิตจากอลูมินั่มอัลลอย และจากคาร์บอนไฟเบอร์ และ สำหรับPixpros reviewในตอนนี้ เราจะทำการreviewขาตั้งของBenroในรุ่น C-297n6 ซึ่งเป็นขาตั้งกล้องในขนาดกลางที่ผู้ผลิตเลือกใช้ท่อที่ผลิตจากวัสดุจำพวก คาร์บอนไฟเบอร์มาเป็นส่วนประกอบ


ถึงแม้ว่าBenroจะมีขาตั้งกล้องอยู่ในlineการ ผลิตอยู่หลายรุ่นทีเดียว แต่ก็สามารถจำแนกรุ่นได้ไม่ยาก โดยสังเกตได้จากรหัสประจำรุ่น ดังนี้



  1. ตัวอักษรตัวแรกนั้นจะบอกถึงวัสดุที่ใช้ในการผลิต
    • A : ส่วนขาทำมาจากอลูมินัมอัลลอย
    • C : ส่วนขาทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมีจำนวนชั้นของเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ 8ชั้น
    • M : ส่วนขาทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมีจำนวนชั้นของเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ 6ชั้น
  2. ตัวเลขชุดนี้จะบอกถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของขาท่อนบนสุด โดยไล่จาก 0 - 4
    • เลข 0 จะหมายถึงขารุ่นเล็กที่สุด และ 4 จะเป็นขารุ่นที่ใหญ่ที่สุด (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางในแต่ละเบอร์นั้น จะแตกต่างกันไปตามรุ่นวัสดุที่เลือกใช้ด้วย )
  3. ตัวเลขชุดนี้จะบอกถึงลักษณะของแกนกลาง
    • 2 : ส่วนแกนกลางจะสามารถปรับได้เฉพาะในแนวขึ้นลงเท่านั้น
    • 9 : ส่วนแกนกลางสามารถปรับขึ้นลง , ปรับหมุนรอบตัว และสามารถปรับมุมของแกนกลางกับแนวราบได้ตั้งแต่ 0-90 องศา
  4. ตัวเลขชุดนี้จะบอกถึงจำนวนท่อนของขาแต่ละข้าง
    • 6 : 2 ท่อน
    • 7 : 3 ท่อน
    • 8 : 4 ท่อน
ดัง นั้น C-297 จึงหมายถึงขาตั้ง3ท่อน ที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ชนิด 8ชั้นต่อความหนา1mm โดยจัดเป็นขาขนาดกลาง ใช้แกนกลางที่สามารถปรับมุมได้หลายรูปแบบนั่นเอง




โอลิมปัสเผยโฉมกล้องดิจิตอลชนิดเปลี่ยนเลนส์ได้รุ่น E-30

โดดเด่นด้วยระบบ
Four Third System สำหรับผู้ใช้งานในระดับกลาง และฟังก์ชั่น Art Filter ฟังก์ชั่นการกรองแสงแบบใหม่เพื่อภาพถ่ายที่สร้างสรรค์





บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด ได้เปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่น E-30 จากโอลิมปัส รุ่นใหม่ล่าสุดจากตระกูล E System พร้อมด้วยเลนส์สำหรับกล้องดิจิตอลรุ่น ZUIKO DIGITAL 14-54 mm F2.8-3.5 โดยมีกลุ่มผู้บริหารนำโดย มร. ฮันซ์ อูลหริค ฮันเซ่น กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาค พร้อมด้วย นายจรัสพงศ์ เจนจรัสสกุล ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายคอนซูเมอร์อิเล็คทรอนิคส์ บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด และ มร.โทมัส เหลียง ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ จาก โอลิมปัสฮ่องกง แอนด์ ไชน่า ร่วมเปิดตัว ณ บ้านไร่กาแฟ สาขาเอกมัย กล้องดิจิตอลรุ่น E-30 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากตระกูล E -System ซึ่ง ได้รับการพัฒนาให้เป็นกล้องดิจิตอลที่สามารถปรับเปลี่ยนเลนส์ได้ตามความต้อง การของผู้ใช้งาน โดยกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการบันทึกภาพในมุมมอง สร้างสรรค์แบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพมือสมัครเล่นหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพที่ยังมี ประสบการณ์เพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะเลือกเป็นเจ้าของกล้องรุ่นนี้ได้


>> ข้อมูลจาก Photo Video i By Big Camera

ซัมซุงปฏิรูปวงการกล้องดิจิตอลด้วย ซัมซุง NV100HD”



ใครๆ ก็ถ่ายรูปสวยขั้นโปรได้อย่างง่ายดาย ซัมซุงสร้างประวัติศาสตร์เปิดตัวกล้องสมาร์ททัชคาเมร่าตัวแรกของโลก ซัมซุง NV100HD” สูง สุดด้วยความละเอียด 14.7 ล้านพิกเซล ให้ใครๆ ก็ถ่ายภาพแบบมืออาชีพได้อย่างง่ายดาย ผสานดีไซน์ที่สวยงามเข้ากับหลากหลาย ฟังก์ชันประสิทธิภาพสูง พร้อมการเชื่อมต่อแบบไฮเดฟฟินิชันควบคุมการสั่งงานได้จากเพียงปลายนิ้ว สัมผัส ผ่านระบบอัจฉริยะ สมาร์ท ทัช 2.0” เอกสิทธิ์เฉพาะจากซัมซุง และเพื่อเป็นการสร้างกระแสรับรู้ด้านผลิตภัณฑ์ และกระตุ้นความสนใจจากผู้บริโภค ซัมซุงได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์กล้องดิจิตอลคนแรกของประเทศไทย ชมพู่ อารยา เอ. ฮาร์เก็ต



โซนี่ไทยรุกตลาดกล้องดิจิตอล DSLR ระดับมืออาชีพเปิดตัวกล้อง “Alpha 900” ระบบฟูลเฟรม ที่มีความละเอียดสูงที่สุดในโลก


บริษัทโซนี่ไทย จำกัด สร้างความตื่นเต้นให้แก่วงการกล้องดิจิตอลอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวกล้อง Alpha 900 ที่ อัดแน่นไปด้วยสมรรถนะ และฟังก์ชั่นการทำงานประสิทธิภาพสูง เพื่อารใช้งานระดับมืออาชีพอย่างแท้จริง ซึ่งมาพร้อมกับควยามละเอียด 24.6 ล้านพิกเซล นับว่าเป็นกล้องที่มีความละเอียดสูงสุดกว่ากล้องในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Exmor CMOS Senser ขนาด 35 มม. แบบฟูลเฟรม เพื่อดึงเอาศัยภาพสูงสุดของเลนส์อัลฟ่ามาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภาพที่ได้จึงไม่เพียงแต่มีรายละเอียดที่เหนือกว่ากล้องรุ่นที่ผ่านมาเท่า นั้น แต่ยังให้มิติของแสงที่ยอดเยี่ยม ให้สีสันและการไล่โทนที่สมบูรณ์แบบ ในโอกาสนี้ โซนี่ยังได้จัดนิทรรศการภาพถ่าย “The Beauty of The World” เพื่อจัดแสดงผลงานภาพถ่ายของ 3 สุดยอดช่างภาพในเมืองไทย คุณเดโช บูรณบรรพต คุณนิติกร กรัยวิเชียร และคุณอัษฎาวุธ ซารัมย์ ที่ร่วมกันบันทึกและถ่ายทอดแรงบันดาลใจด้วยกล้อง Alpha 900 และจัดแสดงผลงานพร้อมกันเป็นครั้งแรก








Samsung TL320 และ HZ15W 12 Mega Pixel


Samsung TL320 และ HZ15W กล้องดิจิตอลคอมแพคคู่เด็ด ที่มีความคมชัดถึง 12 Mega Pixels โดยในรุ่น TL320 เป็นกล้องที่กะทัดรัด ตัวเครื่องทนทาน และด้วยจอภาพที่แสดงผลให้เห็นอย่างชัดเจนขนาด 3 นิ้ว (HVGA AMOLED Display) , Zoon Optical 5 เท่า , มีช่องสำหรับต่อ HDMI, ระบบกันสั่น , และที่ทำให้ผมรู้สึกชอบมาก ๆ คือ ตัวแสดงพลังงานและจำนวนภาพนั้นเป็นเข็มอะนาลอต (ดูแล้วหรูมาก ๆ ) และในส่วนของ ZH15W ความละเอียด 12 Mega Pixels เช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างแน่นอนนั่นคือ Zoom Optical ที่ได้มากกว่าถึง 10 เท่า โดยขนาดของหน้าเลนน์คือ 24 mm และช่วงซูมของตัวเลนน์นั่นคือ 24-240 mm (เป็นช่วงไวด์ที่กว้างที่สุดของประเภทกล้องคอมแพค... )

Link : http://www.engadget.com/2009/02/23/s...320-and-hz15w/




ซันโยเปิดเกมรุกรับปีฉลู ส่งกล้องวิดีโอแบบพกพา ตระกูล “Xacti” ลงตลาด 6 รุ่นรวด มั่นใจกระตุ้นยอดปี
2552 เพิ่ม โชว์ระบบ Dual Camera บึนทึกวิดีโอพร้อมภาพนิ่งต่อเนื่องไม่มีสะดุด ดีไซน์เล็กกะทัดรัด คมชัดด้วยไฮเดฟฟินิชั่น คุณภาพแบบมืออาชีพ


ซันโยวางแผนที่จะรุกตลาดกล้องวิดีโอแบบพกพาในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กล้องในตระกูล Xacti ภายใต้แบรนด์ซันโยที่ผ่านการพัฒนา และออกแบบขึ้นเอง พร้อมกันถึง 6 รุ่น ได้แก่ รุ่น VPC–WH1, VPC-FH1, VPC-HD2000, VPC-CG10, VPC-CA9, VPC-TH1 และนับเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดตัวในวันเดียวกันถึง 8 เมืองใหญ่ ใน 7 ประเทศ ทั่วโลก คือ ญี่ปุ่น (โตเกียว และโอซาก้า) ดูไบ อังกฤษ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศไทย เพื่อแสดงถึงศักยภาพการก้าวเป็นผู้นำในตลาดกล้องวิดีโอแบบพกพาขนาดเล็ก ที่ชูจุดขายด้วยความเป็นกล้องแบบ Dual Camera ที่ให้ความคุ้ม ค่าต่อผู้ใช้งานสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งได้ในเวลาเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถเก็บภาพความประทับใจได้ทุกช่วงเวลา นอกเหนือจากความเป็นกล้องแบบ Dual Camera แล้ว Xacti ทั้ง 6 รุ่น ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยนำจุดเด่นจากซันโยในฐานะผู้นำเบอร์หนึ่งของตลาดแบตเตอรี่ eneloop ระดับโลกมาใช้ ทำให้กล้องสามารถทำงานได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 3 ชั่วโมง 20 นาที (เฉพาะรุ่น VPC–WH1, VPC-TH1) ยิ่งไปกว่านั้น กล้องในรุ่น VPC-FH1 และ VPC-HD2000 ยังให้ระดับการซูมภาพแบบ 16x Advance zoom พบกับสุดยอดนวัตกรรมกล้องวิดีโอพกพาในตระกูล Xacti 6 รุ่น ล่าสุด จากซันโยซึ่งจะเริ่มนำเข้ามาให้ได้สัมผัสจริงในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ณ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและห้างสรรพสินค้าทั่วไป


>> ข้อมูลจาก Photo Video i for BigCamera Magazine

เราเคยทำการรีวิวกล้อง G9 ซึ่งเป็นรุ่นก่อนของกล้องตัวนี้ไว้เมื่อราวปีที่แล้ว ซึ่งก็หมายความว่า G10 นั้นใช้เวลาในการพัฒนาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี

เราเคยทำการรีวิวกล้อง G9 ซึ่งเป็นรุ่นก่อนของกล้องตัวนี้ไว้เมื่อราวปีที่แล้ว ซึ่งก็หมายความว่า G10 นั้นใช้เวลาในการพัฒนาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี แต่กระนั้นเจ้ากล้องตัวใหม่นี้ก็ดูจะไม่แตกต่างจากตัวเก่า สักเท่าใด

ข้อแตกต่างสำคัญที่เราคิดว่าควรจะต้องพูดถึงคงหนีไม่พ้นเรื่องของ เซ็นเซอร์ที่มีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 14.7 ล้านพิกเซลแทน 12 ล้านพิกเซลใน G9 ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ ไม่ได้ถูกเพิ่มขึ้นมากมายนัก นอกจากนั้นความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้นของจำนวนพิกเซลบนพื้นที่เซ็นเซอร์ที่เท่า เดิมนั้นก็ มักจะทำให้เกิดปัญหาของสัญญาณรบกวน (และการกำจัดสัญญาณรบกวน) ตามมาอย่างที่เราเห็นมาเป็นส่วนใหญ่

แต่การปรับเปลี่ยนที่เห็นจะมีประโยชน์มากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนจากเลนส์ซูม 6x (เทียบเท่า 35-210 มม.) มาเป็นช่วงสั้นกว่าเดิมที่ 28-140 มม. แน่นอนว่าระยะซูม ลดลงจาก 6x เหลือ 5x แต่คุณจะได้ช่วงมุมกว้างขนาด 28 มม. มาแทน
ด้านบนตัวกล้องก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน G9 นั้นมีปุ่มปรับค่า ISO ที่ด้านซ้าย แต่ G10 ตัวใหม่นั้นย้ายมาอยู่ใต้ปุ่มปรับโหมดทางขวามือ ส่วนทางซ้ายมือนั้นกลายเป็นปุ่มปรับชดเชยแสงแทนซึ่งเหมาะแก่การใช้งานมาก เพราะการที่เราสามารถปรับค่า ISO และค่าชดเชยแสงได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าไปในเมนูนั้นเป็นสิ่งที่ยอดมาก

ถ่ายเป็น RAW?
มีอีกสองอย่างที่ควรกล่าวถึง อย่างแรกก็คือโหมดถ่ายเป็นไฟล์ RAW ซึ่ง G10 ไม่เพียงแต่ถ่ายเป็น RAW ได้เท่านั้นแต่การถ่ายและบันทึกข้อมูลยังทำได้รวดเร็วไม่แพ้กล้อง DSLR เลยทีเดียว กล้องคอมแพคท์ส่วนใหญ่จะมีโหมดถ่ายแบบ RAW หรือถ้าทำได้ก็ต้องใช้เวลาประมวลผลนานหลายวินาทีจนไม่เหมาะกับการใช้งาน สิ่งที่ได้รับการปรับปรุงอีกอย่างก็คือจอ LCD ที่มีขนาด 3 นิ้วเท่ากับ G9 แต่ความ ละเอียดจอนั้นเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 461,000 พิกเซล มันชัดเจน สดใส ให้สีที่อิ่ม และครอบคลุมมุมมองที่กว้าง

อันที่จริงจอ LCD ใหม่นี้ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำเพราะเมื่อคุณถ่ายด้วย G10 แล้วกดเปิดดูจะพบภาพที่เต็มไปด้วยสีสันและมิติ แต่พอเอาไฟล์ภาพเหล่านั้นไปเปิดบนจอคอมพิวเตอร์ปรากฏว่ามันก็ดูปกติธรรมดา อาจจะเป็นเพราะจอของ G10 นั้นเพิ่มความสดของสีและคอนทราสต์ของภาพ และอาจทำให้เราดูไม่ออกว่าที่จริงแล้วภาพนั้นเป็นภาพที่สวยจริงๆ หรือเป็นเพราะจอที่ดีทำให้มันดูสวยเกินจริงกันแน่ ภาพที่เราทดลองถ่ายหลายภาพก็ออกมาสวยเกินจริงบนจอของกล้องเช่นกัน ค่าคอนทราสต์และความอิ่มของสีที่กล้องตั้งไว้เป็นค่ามาตรฐานนั้นค่อนข้างจะ เรียบๆ ซึ่งก็ไม่น่ากังวลถ้าคุณเป็นคนชอบแต่งภาพและนำภาพเหล่านั้นไปปรับแต่งให้โดด เด่นกว่าเดิมในแบบที่คุณต้องการ แต่ถ้าคุณชอบแบบถ่ายแล้วใช้งานได้เลยก็ไม่น่ามีปัญหาจากคุณภาพของภาพในระดับ ที่ได้มาตรฐานอยู่แล้ว

โทนสีผิว สีของร่มที่สดใสฉูดฉาดในภาพนี้ ไม่ทำให้ระบบออโต้ไวท์บาลานซ์ของ G10 หลงกลแต่อย่างใด

ภาพถ่ายในอาคาร ระบบป้องกันภาพสั่นไหวของ G10 นั้นทำงานได้ ดีเยี่ยม แม้จะถ่ายด้วยความเร็วชัตเตอร์ต่ำภายใต้แสงน้อยก็ยังออกมาดี และแน่นอนว่าดีกว่าถ่ายด้วยค่า ISO สูงๆ

ภาพถ่ายกลางแจ้ง จอ LCD ขนาด 3 นิ้วนั้นเกือบจะดีเกินไป เพราะแสดงภาพด้วย คอนทราสต์และสีสันที่อิ่มเกินจริง

และคุณก็ไม่ควรคาดหวังให้มากเกินไปว่าจำนวนพิกเซลที่เพิ่มขึ้นจะสร้าง ความแตกต่างในรายละเอียดของภาพ ได้อย่างชัดเจน ปัจจุบันนี้เราได้ก้าวข้ามจุดที่จำนวนพิกเซลจะเป็นตัววัดความละเอียดไปแล้ว ขนาดของเซ็นเซอร์ต่างหากที่สำคัญกว่า และขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.7 นิ้วของ G10 ก็ยังเล็กกว่าเซ็นเซอร์กล้อง DSLR หลายเท่า จะเห็นได้ชัดเจนในส่วนของรายละเอียดขนาดเล็กบนพื้นผิวและคุณภาพของรูปที่ลด ลงเมื่อถ่ายด้วยค่า ISO สูงๆ ถึงกระนั้น G10 ก็เป็นกล้องที่ดีแต่ก็มีข้อจำกัดในตัวเอง ถ้าคุณกำลังมองหากล้องคุณภาพเยี่ยมที่เล็กพอจะจับใส่กระเป๋าเสื้อหรือกางเกง ได้แล้วล่ะก็ กล้องตัวนี้เป็นอีกตัวที่ดีที่สุดในท้องตลาดขณะนี้ แม้คุณภาพของรูปที่ออกมาจะไม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ แต่ G10 ก็เป็นกล้องที่แข็งแรง สวยงาม ใช้งานสนุก ผู้ผลิตรายอื่นอาจจะมีจุดแข็งเรื่องของคุณภาพรูปถ่ายแต่ Canon รู้ว่าการผลิตกล้องถ่ายรูปที่ดีนั้นต้องทำอย่างไร

สีสัน
G10 ให้สีที่ค่อนข้างเรียบ ไม่ฉูดฉาด อาจทำให้บางคนรู้สึกว่าจืดเกินไป แต่อย่างไรคุณก็สามารถเลือกถ่าย ด้วยโหมดสีแบบ Vivid เพื่อเพิ่มค่า
คอนทราสต์และความเข้มของสีสันได้
รายละเอียด
รายละเอียดของภาพที่ได้จาก G10 นั้นครบถ้วนสวยงาม โดยเฉพาะถ้าคุณถ่ายด้วยค่า ISO ต่ำ ภาพที่ได้จะดูดีมาก
สัญญาณรบกวน
ภาพที่ถ่ายด้วย ISO 80 นั้นไร้สัญญาณรบกวน แต่แค่เพิ่มเป็น ISO 100-200 ก็จะเริ่มเกิดร่องรอยของสัญญาณรบกวนขึ้นให้เห็น

The Ratings
คุณสมบัติเด่น *****
เลนส์ซูมมุมกว้าง 5 เท่า ระบบกันสั่นแบบ 4 – สต็อป ความละเอียดสูง และมีโหมดถ่าย RAW
สมรรถภาพ ****
เซ็นเซอร์ขนาดเล็กคือข้อจำกัดของรายละเอียดภาพและการถ่ายด้วยค่า ISO สูงๆ แต่ก็ยังจัดว่าให้ภาพที่ดี
การใช้งาน *****
ปุ่มปรับชดเชยแสง ปุ่มปรับโหมดสองชั้น และปุ่มปรับค่า ISO ที่เพิ่มเข้ามานั้นทำให้การทำงานเป็นไปอย่างลื่นไหล นี่คือสิ่งที่เราอยากเห็นในกล้องถ่ายรูป
คุณภาพการผลิต *****
G10 ให้ความรู้สึกเหมือนมันทำด้วยเหล็ก ยกเว้นแต่ปุ่มปรับที่แผงหลังที่รู้สึกเบามือไปเล็กน้อย
ความคุ้มค่าเงิน ***
คุณสมบัติและปุ่มปรับที่หลากหลายคือเหตุผลที่มันมีราคาค่อนข้างสูงเพราะด้วยราคานี้คุณสามารถหาซื้อกล้อง DSLR บางรุ่นได้เลย

คำตัดสินของ Digital Camera
88%
เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.7-นิ้วคือข้อจำกัดของมันโดยเฉพาะการถ่ายด้วยค่า ISO สูงๆ และการเพิ่มจำนวนพิกเซลเป็น 14.7 ล้านก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่กล้องในตระกูล G ของ Canon PowerShot นั้นไม่เคยสร้างความผิดหวังในเรื่องการออกแบบหรือการใช้งาน กล้อง G10 ก็เป็นกล้องที่ยอดเยี่ยมเช่นกันโดยเฉพาะการ มีเลนส์ซุมมุมกว้าง

คู่แข่ง
Panasonic Lumix LX3 399 ปอนด์
LX3 นั้นมีขนาดเล็กกว่า G10 แต่เลนส์ของมันก็มีข้อจำกัดใน
ช่วงเทเลโฟโต้ 87%

Ricoh GX200 320 ปอนด์
GX200 ทำงานได้เหมือนกล้อง DSLR แต่มีขนาดใหญ่กว่ากล้องคอมแพคท์แบบบางเพียงเล็กน้อย 90%

กล้องตัวน้อยที่มาพร้อมกับความละเอียดถึง 14 ล้านพิกเซล

Canon Digital IXUS 980 IS

Canon IXUS 980IS หรือที่หลายคนเรียกกันว่า กล้องพอลล่า อันเนื่องมากจาก Canon ใช้น้องพอลล่า เป็นพรีเซนต์เตอร์นั่นเอง กล้องตัวนี้เป็นกล้องรุ่นใหม่ในตระกูล IXUS ที่ทำให้คนที่ห่างหายจากกล้อง Digital Compact ไปนานอย่างผม สัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพที่เจ๋ง และฟังก์ชันที่เยอะจนใช้ไม่ถูก อย่าเสียเวลาเลยครับมาดูตัวกล้องกันก่อนดีกว่า

Body & Design

ตัวเครื่องเป็นโลหะผสม มีความทนทาน ด้านหน้าตัวเครื่องจะประกอบด้วย ช่องกระบอกเลนน์ Flash

ด้านหลังตัวเครื่อง จะเป็นส่วนของการควบคุมในการถ่ายทั้งหมดโดยจะมีหน้าจอ และปุ่มในการกำหนดค่าถายต่าง ๆ ไว้ด้านหลัง

ด้านบนเป็นในาส่วนของ On-Off ปุ่มชัตเตอร์ และ กระเดื่องซูม

ด้านซ้ายจากหน้าตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบ USB ไว้ทางด้าน AV/out Digital

ด้านล่างของตัวเครื่องเป็นช่องใส่แบตเตอร์รี่และ SD CARDอยู่ด้วยกัน

Canon IXUS 980IS Specification

เก็บทุกรายละเอียดด้วยเลนส์ซูมมุมกว้าง 24 มม. f/2 และเซ็นเซอร์ภาพขนาดใหญ่ พร้อมความสามารถในการบันทึกภาพที่ครบครัน

กล้องถ่ายภาพ LUMIX ทุกรุ่นล้วนแล้วแต่มีคุณภาพการผลิตที่ประณีต ควบคู่ไปกับคุณสมบัติด้านการถ่ายภาพที่ครบครัน โดยเน้นการออกแบบที่เรียบง่ายคลาสสิก รวมถึงมีการใช้เลนส์ซูมมุมกว้างคุณภาพสูงจาก Leica ทำให้ภาพถ่ายที่ได้มีความคมชัดและสีสันสวยงาม กล้อง LUMIX LX3 เป็นกล้องคอมแพคท์ที่ทาง Panasonic ได้วางตำแหน่งให้เป็นกล้องคอมแพคท์ระดับมืออาชีพประสิทธิภาพสูงรุ่นล่าสุด โดยได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากกล้องรุ่น LX2 รุ่นที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับทาง Panasonic มาแล้วทั่วโลก ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดจากเดิมก็คือ การเปลี่ยนเลนส์จากขนาด 28 มม. มาเป็นเลนส์ซูมมุมกว้างรุ่นใหม่ขนาด 24 มม. ที่มีช่องรับแสงกว้างสุดมากถึง f/2 ทำให้สามารถบันทึกภาพในสภาพแสงน้อยได้เป็นอย่างดี

รูปทรงภายนอกของกล้อง LX3 นั้นให้ความรู้สึกได้ถึงความตั้งใจในการออกแบบที่ดูดีมากตั้งแต่ความลงตัวขอ งกริป มือจับขนาดเล็กแต่มีพื้นผิวโชว์ลายกันลื่น พร้อมใส่แถบโลหะสีเงินล้อมรอบเพิ่มเข้าไป ซึ่งให้ความมั่นคงในการจับถือใช้งานได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับน้ำหนักโดยรวมของกล้องที่หนักมือให้ความรู้สึกที่ดีมากเมื่อ หยิบจับกล้องขึ้นมาใช้งาน เลนส์ซูมมุมกว้างของ Leica DC Vario-Summicron f/2-2.8 ASPH กำลังขยายแบบออปติคอลขนาด 2.5x (เทียบเท่า 24-60 มม.) ทำให้กล้อง LX3 เป็นกล้องคอมแพคท์ระดับโปรที่มีเลนส์ซูมมุมกว้างมากถึง 24 มม. ที่มีประโยชน์จากความไวแสงสูงถึง f/2 เนื่องจากตามปกติแล้วเลนส์มุมกว้าง 24 มม. ที่มีความสว่างสูงมากเช่นนี้จะหาได้ค่อนข้างยากจากกล้องคอมแพคท์ระดับมือ อาชีพ หรือแม้แต่จากกล้องแบบ DSLR ก็ตาม ทำให้สามารถนำมาชดเชยกับช่วงเลนส์เทเลโฟโต้มาตรฐานขนาด 60 มม. ได้ ด้านหน้าของตัวเลนส์สามารถหมุนแหวนเกลียวออกเพื่อใช้ติดตั้งอะแดปเตอร์แปลง เลนส์มุมกว้างพิเศษ รุ่น LW46 (0.75x) ที่ให้มุมภาพกว้างมากถึง 18 มม. (เทียบเท่า) และถ้าหากใช้ร่วมกับช่องมองภาพแยกภายนอกรุ่น VF-1 (อุปกรณ์เสริม) จะยิ่งช่วยให้ความรู้สึกในการใช้งานแบบย้อนยุค เช่นเดียวกับกล้องเรนจ์ไฟน์เดอร์ในตระกูล M ของ Leica ได้เป็นอย่างดี บริเวณด้านบนของกระบอกเลนส์มีสวิตช์ปรับเลือกอัตราส่วนของภาพได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบมาตรฐาน 3:2 แบบ 4:3 ที่มีเฟรมเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสมากกว่าและแบบจอกว้าง 16:9 ที่เหมาะกับขนาดของจอ HDTV

ด้านบนของตัวกล้องมีการจัดเรียงอุปกรณ์ไว้อย่างมีระเบียบ เริ่มตั้งแต่มุมซ้ายสุดซึ่งเป็นไฟแฟลชแบบ pop-up ที่ซ่อนอยู่ในตัวกล้องอย่างแนบเนียน ซึ่งทำงานด้วยการเลื่อนสวิตช์แบบสไลด์ขนาดเล็กเพื่อกระดกแฟลชให้โผล่ขึ้นมา จากตัวกล้องได้อย่างรวดเร็วทุกครั้งที่ต้องการ ถัดมาเป็นช่องเสียบขาแฟลช (Hotshoe) เพื่อใช้กับแฟลชเฉพาะกิจ รุ่น FL 360, FL 500 (อุปกรณ์เสริม) ได้อย่างสะดวก แป้นปรับโหมดถ่ายภาพหลักมีขนาดใหญ่ปรับหมุนได้อย่างแม่นยำ เช่นเดียวกับคานโยกปรับซูมขนาดเล็กและปุ่ม Focus ที่ใช้เลื่อนกรอบ AF ได้อย่างรวดเร็ว จอ LCD ขนาด 3 นิ้ว ความละเอียดสูงขนาด 460,000 พิกเซล ให้ภาพที่สวยงามคมชัด ใสเคลียร์ แสดงภาพในมุมมองที่กว้างแบบอัตราส่วน 3:2 ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของกล้องแบบ DSLR ทั่วไป การแสดงค่าต่างๆ บนจอ LCD ทำได้อย่างครบถ้วนชัดเจนด้วยรูปแบบเข้าใจง่ายและสัญลักษณ์ที่มีขนาดใหญ่ โดยสามารถปิดการแสดงผลต่างๆ บนจอ LCD ได้ทันทีด้วยการกดปุ่ม Display ด้านข้างของจอ หรือจะตั้งค่าให้แสดง เส้นตารางขึ้นบนจอซึ่งมีประโยชน์มากในการจัดองค์ประกอบภาพที่ต้องการความ แม่นยำสูงสุด ส่วนปุ่มควบคุมอื่นๆ ทางด้านหลังของกล้องมีการจัดวางไว้อย่างลงตัว เช่นเดียวกับกล้องของ LUMIX รุ่นอื่นๆ ซึ่งง่ายต่อการจดจำ โดยเฉพาะกับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับกล้อง Panasonic

หลายคนอาจจะสงสัยว่ากล้อง LX3 ซึ่งเป็นกล้องคอมแพคท์ระดับโปรแต่กลับมีความละเอียดอยู่ที่ 10.1 ล้านพิกเซล แทนที่จะเน้นการเพิ่มค่าความละเอียดภาพให้สูงมากกว่านี้เหมือนกับกล้องคอม แพคท์ในระดับเดียวกันที่ส่วนใหญ่จะก้าวข้ามระดับ 10 ล้านพิกเซลไปแล้ว ทางวิศวกรผู้ออกแบบของ Panasonic ได้กล่าวว่าถึงแม้ว่าเซ็นเซอร์ภาพรุ่นใหม่ที่มีขนาด 1/1.63 นิ้ว ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่มากกว่าเดิมจะสามารถให้ความละเอียดมากขึ้นกว่านี้ได้อีก แต่เพื่อผลลัพธ์ของภาพถ่ายที่มีคุณภาพสูงกว่า จึงตัดสินใจเลือกใช้ค่าความละเอียดเพียงแค่ 10.1 ล้านพิกเซลเท่านั้น โดยภาพที่ได้จากการทดสอบแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดที่ชัดเจนครบถ้วนทุกราย ละเอียด อีกทั้งยังสามารถควบคุมการเกิด Noise ในภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหนึ่งน่าที่จะมาจากหน่วยประมวลผลภาพรุ่นล่าสุดแบบ Venus Engine VI จึงทำให้การถ่ายทอดสีสันและมีโทนภาพที่สวยงามนุ่มนวล รวมถึงมี Noise ที่ต่ำมากแม้จะใช้ค่า ISO ที่สูงก็ตาม กล้อง LUMIX LX3 มีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานอย่างครบครัน ตั้งแต่โหมด A/S/P/M โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะ iA (Intelligent Auto Mode) ที่กล้องจะทำการเลือกค่าการถ่ายภาพที่เหมาะสมที่สุดให้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่การเลือกโหมด Scene ระบบตรวจจับใบหน้า ระบบตรวจจับภาพสั่นไหว โหมด Scene ตามปกติ และโหมดวิดีโอ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันการทำงานที่น่าสนใจให้เลือกใช้ได้ตามความต้องการ เช่น ฟังก์ชัน Film Mode ที่สามารถเลือกตั้งค่าโทนภาพหรือรูปแบบของสีสันในภาพได้หลายรูปแบบ อาทิ แบบ Standard Dynamic Nature Smooth และขาวดำ เป็นต้น ซึ่งช่วยเพิ่มความสนุกในการใช้งานพร้อมๆ กับรูปแบบภาพที่แตกต่างได้ตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจและค่อนข้างหาได้ยากในกล้องคอมแพคท์ก็คือ การบันทึกภาพแบบ RAW ไฟล์ และฟังก์ชันการถ่ายภาพซ้อน (Multiple Exposure) ที่สามารถบันทึกภาพซ้อนได้ถึง 3 ภาพในหนึ่งเฟรม รวมถึงระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ Mega O.I.S. ที่มีประสิทธิภาพของ Panasonic

กล้อง LUMIX LX3 จึงเป็นกล้องคอมแพคท์ระดับมืออาชีพที่มีจุดเด่นมากมาย โดยเฉพาะเลนส์ซูมมุมกว้างขนาด 24 มม. f/2 ระบบประมวลผลภาพและเซ็นเซอร์ภาพรุ่นใหม่ที่ให้ผลงานภาพถ่ายที่สวยงาม รวมถึงโหมดถ่ายภาพและอุปกรณ์เสริมคุณภาพสูง ทำให้นี่เป็นกล้องคอมแพคท์ที่สามารถรองรับทุกการสร้างสรรค์ภาพถ่ายคุณภาพสูง ได้อย่างมั่นใจ

ค่าเปิดรับแสง
ระบบวัดแสงอันชาญฉลาดของ LX3 ให้ภาพที่มีสีสันถูกต้องอย่างน่าประทับใจแม้จะมีสภาพแสงที่มีความเปรียบต่าง สูงมากเช่นนี้ ตัวแบบในภาพก็ยังคงมีการเปิดรับแสงที่ดูดี

ความคมชัดของภาพ
เลนส์ซูมมุมกว้าง ขนาด 24 มม. f/2 m Leica ให้ภาพที่มีความคมชัด ตลอดทั่วทั้งภาพ รวมถึงสีสันที่เป็นธรรมชาติ ถ่ายทอดรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนทั้งในส่วนไฮไลท์และชาโดว์

สีผิว
กล้องLX3 สามารถถ่ายทอดโทนสีผิวของตัวแบบได้อย่างยอดเยี่ยม นุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ไม่ซีดจางหรือเข้มจัดจนเกินไป อีกทั้งระบบไวท์บาลานซ์อัตโนมัติยังให้โทนสีที่สวยงามแม้ตัวแบบจะอยู่ในที่ ร่มใต้อาคารก็ตาม

ระบบป้องกันการสั่นไหว
ระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ Mega O.I.S ของ Panasonic ยังคงสร้างความประทับใจในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้การถ่ายภาพ ที่ต้องการแสดงให้เห็นบรรยากาศแสงที่แท้จริงโดยไม่ใช้แฟลชทำได้อย่างมั่นใจ โดยปราศจากการสั่นไหว

แฟลชที่มีประสิทธิภาพ
กล้อง LX3 ใหแสงแฟลชที่มีความสว่างพอเพียงและนุ่มนวลไม่สว่างจ้าจนเกินไปแม้จะทำการ ถ่ายภาพตัวแบบที่มีผิวมันง่ายต่อการสะท้อนแสง ภาพที่ได้ก็มีความคมชัดและมีสีสันที่ถูกต้องไม่สว่างจ้า อีกทั้งยังสามารถใช้ร่วมกับแฟลชเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นออฟชั่นเสริมได้อย่างสะดวก ผ่านทาง Hotshoe บนตัวกล้อง

อาจเป็นกล้องในฝันของใครหลายคนอีกตัว

Nikon D3 สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการกล้องอยู่ไม่น้อยเมื่อมันถูกเปิดตัวออกมา มันเป็นกล้อง DSLR แบบเต็มเฟรมตัวแรกของ Nikon หลังจากปล่อยให้ Canon ครองตลาดกล้องประเภทนี้เพียงเจ้าเดียวอยู่เสียนาน แม้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลของมันจะสู้ไม่ได้กับ 21 ล้านพิกเซลของ Canon EOS 1Ds Mk III แต่มันก็ชนะในเรื่องของความสามารถในการถ่ายด้วยค่า ISO ที่สูงและความเร็วในการถ่ายต่อเนื่องที่เร็วกว่า ที่สำคัญก็คือราคาที่ถูกกว่าราคาตั้งของ Canon ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนั้นสามารถนำมาซื้อเลนส์คุณภาพดีๆ ได้อีกสองตัว ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ซูมคุณภาพเยี่ยมตัวใหม่อย่าง 24 – 70 มม.หรือ 14 – 24 มม. ที่เราได้ทำการทดสอบไปพร้อมกับกล้อง D3 แต่อย่างไรก็ตาม D3 ก็ยังเป็นกล้องที่มีราคาแพงเกินความสามารถของตากล้องหลายๆ คน

นั่นเป็นเหตุให้ D700 เกิดขึ้นมา สิ่งที่มันมีเหมือนกับ D3 คือเซ็นเซอร์แบบเต็มเฟรมความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่อยู่ในบอดี้ขนาดเล็กที่เท่ากับ D300 จะมีความสูงมากกว่าเล็กน้อยก็ตรงส่วนของกระจกหกด้าน นอกเหนือจากราคาและขนาดแล้ว ความแตกต่างอีกอย่างก็คือ ความเร็วในการถ่ายต่อเนื่อง แม้ D700 จะถ่ายได้ไม่เร็วถึง 8 fps เหมือน D3 แต่มันถ่ายได้ 5 fps ซึ่งก็จัดว่าไม่เลว ถ้าอยากให้ถ่ายได้เร็ว 8 fps ก็เพียงแต่ซื้อแบตเตอรี่กริปรุ่น MB-D10 มาเพิ่มเท่านั้น อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือมันมีระบบทำความสะอาดเลนส์ซึ่ง Nikon ค่อนข้างจะช้ากว่าผู้ผลิตรายอื่นในเรื่องของคุณสมบัตินี้ แต่อย่าลืมว่าโปรแกรม Nikon Capture NX (ซึ่งขายแยกในที่สุด) นั้นมีคุณสมบัติในการกำจัดร่องรอยของฝุ่นผงในภาพ (dust-off) ให้หมดไปโดยอัตโนมัติ

เราทดสอบ D700 กับเลนส์ ‘N’ 24 - 70มม. f/2.8 ตัวใหม่ของ Nikon ราคาประมาณ 1,000 ปอนด์ซึ่งนับว่าไม่น้อย แต่ก็ไม่ต่างกับเลนส์ระดับโปรตัวอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายกันเท่าใดนัก เลนส์ตัวนี้มีความพิเศษหลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือมันมีรูรับแสงสูงสุดคงที่ที่ f/2.8 อีกอย่างหนึ่งคือความคมชัดที่เราทดสอบแล้วว่ายอดเยี่ยมจากขอบหนึ่งจรดอีกขอบ หนึ่งที่ทุกช่วงโฟกัสและไร้ซึ่งสีเพี้ยน (chromatic aberration) แต่สิ่งที่ไม่น่าพิศมัยนักก็คือขนาดและน้ำหนักของมัน ซึ่งต่างกับ D3 ที่สูงพอเหมาะสำหรับการถือถ่ายและก็มีน้ำหนักพอดีกับเลนส์ แต่ D700 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและเบากว่านั้นทำให้น้ำหนักเอียงไปอยู่ที่เลนส์ด้านหน้า มากกว่า

คุณภาพของรูปที่ได้
การลงทุนกับเลนส์ดีๆเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับกล้องตัวนี้เพราะผลลัพธ์ที่ ออกมานั้นจัดว่ายอดมาก ที่น่าประทับใจที่สุดซึ่งมันทำได้ดีไม่แพ้ D3 ก็คือ เริอง Noise ที่ไม่มีปรากฏให้เห็นแม้เพียงเล็กน้อยในภาพที่ใช้ ISO สูงมากๆ ที่ขนาด ISO 1600 ซึ่งกล้อง DSLR ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องNoise เกิดขึ้น แต่ D700 ก็ยังให้ภาพที่สวยเนียนอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งดูเหมือนกับถ่ายด้วย ISO 200 ถ้าเป็นกล้องตัวอื่น และแม้จะถ่ายด้วย ISO 6400 ภาพก็ยังออกมาดี ถ้าเป็นกล้องตัวอื่นก็น่าจะเทียบได้กับ ISO 1600 แต่รายละเอียดปลีกย่อยที่มองข้ามไปไม่ได้เลยของ D700 ก็คือการถ่ายทอดโทนสีที่ไล่ระดับได้อย่างนุ่มนวล ภาพไม่มีร่องรอยของ Noise หรือการเกิด Artifacts แม้แต่น้อย นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องการควบคุมช่วงความชัด ในภาพที่เมื่อใช้เลนส์ไวแสงอย่างเลนส์ขนาด 24 - 70มม. f/2.8 บวกกับความได้เปรียบของเซ็นเซอร์แบบเต็มเฟรม ทำให้คุณสามารถควบคุมความเบลอของฉากหลังได้ด้วยรายละเอียดแบบเดียวกับที่ทำ ได้ในกล้องฟิล์มที่ดูเหมือนเราจะลืมมันไปแล้ว โดยตัวแบบจะเด่นชัดขึ้น ให้ความรู้สึกของภาพที่งดงามน่าประทับใจ

ข้อได้เปรียบอีกอย่างคือขนาดของเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นทำให้ไดนามิคเรนจ์ เพิ่มขึ้นด้วยแม้ว่าจะสังเกตได้ไม่เด่นชัดเท่าใดนัก ท้องฟ้าที่สว่างจ้าก็สามารถสร้างปัญหาให้กับ D700 ได้ไม่แพ้กล้องตัวอื่นๆ ดังนั้นถ้าเมื่อใดที่คุณไม่แน่ใจก็ควรจะถ่ายเป็นแบบ RAW แม้การถ่ายแบบ JPEG จะให้ความคมชัดไม่แพ้แบบ RAW ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากสำหรับกล้องตัวนี้แต่การถ่ายเป็น RAW ก็ให้รายละเอียดและไฮไลต์ที่ดีกว่าในบางจุด

อีกอย่างที่น่าใช้ก็คือโหมด Active D-Lighting ที่พัฒนามากจากฟังก์ชั่น D-Lighting ในโปรแกรมปรับแต่งภาพของ Nikon ซึ่งช่วยปรับให้บริเวณที่มืดเกินไปสว่างขึ้นโดยไม่มีผลต่อโทนกลางหรือไฮไลต์ ส่วนเวอร์ชั่น Active ที่นำมาใส่ในกล้องนั้นได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกซึ่งกล้องจะปรับการรับแสงโดย คงไว้ซึ่งรายละเอียดในไฮไลต์หลังจากนั้นจึงทำการเพิ่มความสว่างให้กับส่วน ที่เป็นเงา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะเห็นได้ไม่ชัดเจนไปเสียทุกครั้ง

การทำงานของ D700 นั้นคล้ายกับ D300 มาก มันเป็นกล้องที่แข็งแรงแต่สำหรับคนมือใหญ่แล้วนั้นอาจจะวางนิ้วได้เพียงสาม นิ้วเท่านั้น แต่ปุ่มปรับอย่างอื่นล้วนทำงานได้ดีมาก D700 ไม่ใช้ปุ่มปรับโหมดแบบที่เห็นตามปกติ คนออกแบบคงคิดเอาไว้แล้วว่าตากล้องมักจะมีโหมดที่เลือกใช้เป็นประจำอยู่แล้ว และคงไม่เปลี่ยนโหมดทุกห้านาที ส่วนโหมดวัดแสงนั้นสามารถเลือกได้จากปุ่มปรับทางขวาของช่องมองภาพและโหมด โฟกัสนั้นก็ปรับได้ด้วยปุ่มด้านล่างของปุ่มปรับสี่ทิศทาง

โหมดโฟกัส
โหมดการโฟกัสของ D700 นั้นทำงานได้สลับซับซ้อนจนถึงขั้นชวนให้สับสน เพราะว่ามันทำงานด้วยระบบ 51-จุด ซึ่งกล้องจะเป็นผู้ควบคุมเองโดยอัตโนมัติ แต่คุณก็สามารถกำหนดจุดโฟกัสแบบแมนวลได้ ถ้า 51-จุดมากเกินไปสำหรับคุณ ก็ยังมีแบบ 21-จุด และ 9-จุดให้เลือก หรือสุดท้ายก็คือเลือกใช้โฟกัสเฉพาะจุดตรงกลางก็ได้ซึ่งน่าจะใช้ง่ายที่สุด
จอ LCD 3-นิ้วนั้นทำงานได้ดีเยี่ยม ต้องขอบคุณความละเอียด 920,000 จุดของมัน นอกจากนั้น D700 ยังมีโหมด Live View สองชนิด คือสำหรับการถ่ายด้วยมือและสำหรับการถ่ายโดยใช้ขาตั้ง แต่ที่อาจจะทำให้คุณสับสนได้ก็คือตอนนี้กล้องกำลังทำการโฟกัสหรือทำการถ่าย จริงกันแน่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า D700 เป็นกล้องที่ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่เราก็มีคำถามสองสามข้อ เช่น จะเกิดอะไรขึ้นกับ D300 และเลนส์ DX ที่สูงทั้งคุณสมบัติและราคา อีกคำถามก็คือ Nikon ไม่สามารถทำให้ราคาของ D700 ถูกกว่านี้ได้หรือ เพราะว่ามันเป็นเวลาสามปีมาแล้วที่ Canon ผลิต EOS 5D ซึ่งเป็นกล้องแบบเต็มเฟรมความละเอียด 12 ล้านพิกเซลออกมา และตอนนี้ 5D มือสองพร้อมเลนส์ IS USM 24 - 105มม. f/4 ก็ขายกันในราคาที่ถูกกว่าบอดี้ของ D700

D700 ราคาถูกกว่าและขนาดกระทัดรัดกว่า D3 มันเป็นกล้องคุณภาพเยี่ยมที่ให้ผลลัพธ์ที่สุดพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายด้วยค่า ISO สูง

คุณภาพของรูปที่ได้จากกล้องแบบเต็มเฟรมอย่าง D700 นั้นงดงามมาก แต่ภาพที่ได้จากเซ็นเซอร์ชนิดนี้เมื่อเทียบกับภาพที่ได้จากเซ็นเซอร์ APS-C ในกล้อง DSLR ตัวอื่นแล้วนั้นมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย

จอ LCD ขนาด 3 นิ้ว
ไม่เฉพาะขนาดของมันเท่านั้นที่น่าประทับใจแต่ยังมีความละเอียดที่ 920,000 จุดด้วย ภาพที่แสดงให้เห็นนั้นมีคุณภาพเยี่ยมไร้ที่ติ

โหมด AF
ถ้าความสามารถของระบบโฟกัส 51-จุดของ D700 นั้นมากเกินไปสำหรับคุณ คุณน่าจะดีใจที่คุณสามารถเลือกโหมดโฟกัสที่ด้านหลังของกล้องได้ทันทีโดยปรับ ให้เป็นโหมดโฟกัสตรงจุดกลางเท่านั้นก็ได้

การตั้งค่าในการถ่าย
ปุ่มต่างๆในกลุ่มนี้มีไว้สำหรับปรับคุณภาพของรูป ค่าไวท์บาลานซ์ และค่า ISO ส่วนปุ่มหมุนที่อยู่ถัดลงไปมีไว้สำหรับโหมดการถ่าย การออกแบบทำออกมาอย่างมีเหตุผลและจดจำได้ง่าย

ไดนามิคเรนจ์
D700 ไม่มีปัญหาเรื่องการเก็บรายละเอียดของไฮไลต์ในภาพนี้ แต่ถ้าท้องฟ้าสว่างมากก็มีโอกาสที่รายละเอียดบางอย่างจะหายไปได้เหมือนกัน

เลนส์
ไม่มีปัญหาเรื่องสีเพี้ยนให้เห็นเลย (chromatic aberration) ไม่ว่าจะเป็นเพราะเลนส์ Nikkor 24 – 70มม. คุณภาพเยี่ยมหรือเพราะเฟิร์มแวร์ของกล้องก็ตาม

รายละเอียด
D700 เก็บรายละเอียดในภาพได้อย่าง ‘ไม่ต้องเหนื่อยแรง’ คือไม่มี การเกิด Artifacts หรือNoise รวมถึงขอบภาพที่ไม่คมชัดให้เห็น

ภาพกลางแจ้ง
ท้องฟ้าที่จ้าเกินไปยังเป็นสิ่งที่คุณต้องระวัง แต่นอกจากนั้นแล้ว D700 ถือเป็นกล้องที่ถ่ายสนุก เลนส์ไวแสงขนาด f/2.8 บวกกับเซ็นเซอร์แบบเต็มเฟรมช่วยให้การควบคุมช่วงความชัด ทำได้เป็นอย่างดีช่วยทำให้ตัวแบบมีความคมชัดเป็นพิเศษ

โทนสีผิว
ความสามารถในการถ่ายทอดโทนสีและการทำงานที่ค่า ISO สูงๆได้ยอดเยี่ยมทำให้มันเหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลด้วยแสงธรรมชาติที่แม้ จะมีน้อยก็ตาม เพราะเซ็นเซอร์เป็นแบบเต็มเฟรมจึงได้เปรียบในการควบคุมมิติความลึกของภาพ

ภาพถ่ายในอาคาร
ถ้าใช้ ISO 6400 ภาพที่ได้จะเริ่มมี Noise ปรากฏให้เห็น แต่ที่ ISO 1600 นั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด มีร่องรอย Noise เพียงบางๆให้เห็นในใบไม้สีเขียวในภาพนี้ซึ่งใช้ ISO 1600 แต่นอกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร

คุณสมบัติเด่น
แม้จะถ่ายต่อเนื่องได้ไม่เร็วเท่า D3 แต่ความเร็วของมันก็อยู่ที่ 5fps ซึ่งเร็วกว่ากล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ APS-C ทั้งหลายหรือแม้แต่ Canon EOS 5D เองก็ตาม

สมรรถภาพ
ถ่ายทอดรายละเอียดและสีสันได้ยอดเยี่ยม ไม่มี Noise ให้เห็นเลยแม้จะถ่ายที่ ISO สูงมากนั้นน่าทึ่งมาก

การใช้งาน
ซูมแบบเต็มเฟรมของ Nikon นั้นขนาดค่อนข้างใหญ่และหนัก แต่ D700 นั้นมีขนาดที่เล็กลงทำให้ดูเหมือนจะไม่ได้สมดุลย์

คุณภาพการผลิต
ช่องเก็บการ์ดหน่วยความจำและเก็บแบตเตอรี่น่าจะทำให้แข็งแรงกว่านี้ นอกจากนั้นไม่มีอะไรให้ติ

ความคุ้มค่าเงิน
D700 นั้นราคาถูกกว่า D3 ค่อนข้างมากและภาพที่ได้ก็สมราคา แต่ Canon EOS 5D ก็ยังถูกกว่าอยู่ดี

คำตัดสินของ Digital Camera
93%
D700 จัดเป็นกล้องระดับโปรคุณภาพเยี่ยมที่ให้รูปถ่ายที่คมชัดจนต้องประหลาดใจ ไม่มี Artifact ใดๆหลุดเข้ามาให้เห็น ถ่ายด้วยค่า ISO สูงได้ดีมากจนคุณต้องทึ่ง แต่บรรดาผู้ที่ชื่นชอบกล้องแบบเต็มเฟรมอาจจะหวังไว้ว่ากล้องน่าจะมีราคา ถูกกว่านี้

คู่แข่ง
Nikon D3:
D700 ทำให้ D3 ดูแพงไปถนัดใจ แต่ D3 มีความเร็วในการถ่ายต่อเนื่องที่สูงกว่าและการใช้งานที่ดีกว่า 95%
Canon EOS 5D:
แม้จะมีขายมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังทำงานได้ดี และคุณอาจจะหาแหล่งซื้อราคาถูกได้ 93%

มีความละเอียดสูงขนาด 24.6 ล้านพิกเซล ครั้งแรกในโลกพร้อมรองรับทุกการใช้งาน

ถึงแม้ว่าบรัษัทSony จะก้าวเข้ามาสู่ตลาดกล้อง DSLR หลังสุดก็ตามแต่ทาง Sony ก็ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยในการที่จะสร้างเสริมจุดเด่นให้กับกล้องรุ่น ต่างๆของตัวเอง โดยมีฐานของกล้องแบบ DSLR ที่ใช้เซ็นเซอร์ภาพขนาด APS-C ให้เลือกใช้งานได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ทั้งในรุ่นมือสมัครเล่นและในรุ่นกึ่งมืออาชีพ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ากล้องจากSony ทุกรุ่นนั้นมีการผลิตที่ได้มาตรฐานและสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่าง คล่องตัวเช่นเดียวกับกล้องจากค่ายอื่นๆ ซึ่งล่าสุดก็ถึงเวลาของกล้องรุ่น A900 ซึ่งเป็นกล้อง DSLR ที่ใช้เซ็นเซอร์แบบ full-frame รุ่นล่าสุด โดยทางSonyตั้งใจที่จะนำมาเป็นใบเบิกทางเพื่อก้าวเข้าสู่เวทีของกล้องระดับ มืออาชีพที่มี Nikon และ Canon ครองตลาดอยู่

เห็นได้ชัดว่า ทาง Sony มีหมัดเด็ดให้กับ A900 ด้วยการบรรจุเซ็นเซอร์รุ่นล่าสุดแบบ full-frame ที่มีความละเอียดสูงมากถึงขนาด 24.6 ล้านพิกเซล ซึ่งทำให้กล้อง A900 กลายมาเป็นกล้อง DSLR แบบ full-frame ตัวแรกของโลกที่มีความละเอียดภาพสูงที่สุดในขณะนี้ แน่นอนว่าแม้แต่กล้องระดับโปรจาก Canon รุ่น EOS 1DS Mk III จะมีความละเอียดภาพสูงขนาด 21 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกับกล้องรุ่น EOS 5D Mk II ล่าสุด ส่วนกล้อง Nikon รุ่น D700 และ D3 ซึ่งเป็นกล้องระดับหัวแถวของ Nikon นั้นก็ยังมีความละเอียดเพียงแค่ 12 ล้านพิกเซล ในทางทฤษฎีแล้วกล้องของSony ให้ความละเอียดของภาพ มากกว่า Nikon ถึง 2 เท่า และมากกว่ากล้องจาก Canon อีกพอสมควร แต่อย่าลืมความจริงที่ว่าการที่มีจำนวนพิกเซลที่มากขึ้นนั้นไม่ได้หมายความ ว่าภาพถ่ายที่ได้จะมีความคมชัดและมีรายละเอียดมากขึ้นตามไปด้วย คุณภาพของเลนส์ จึงกลายมาเป็นปัจจัยหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการนำมาใช้ตัดสินคุณภาพของภาพ ซึ่งถึงแม้ว่าทั้ง Canon และ Nikon นั้นต่างก็มีประวัติที่ยาวนานในเรื่องของการผลิตเลนส์คุณภาพสูงระดับมือ อาชีพมาโดยตลอด แน่นอนว่าทางSonyนั้นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวเลนส์รุ่น ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพเพิ่มเข้าไปในคอลเลคชั่นของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา

กล้อง A900 ถูกออกแบบมาอย่างประณีตเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการผลิตกล้อง DSLR ระดับมืออาชีพของSonyได้อย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากการออกแบบรูปลักษณ์ที่มี บึกบึนแข็งแรงพร้อมกริปมือจับที่อวบอ้วนกระชับเต็มมือโดยเฉพาะเมื่อใช้กับ กริปมือจับแนวตั้งรุ่น VG-C90AM ( อุปกรณ์เสริม ) ที่มีการออกแบบได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในส่วนการจัดวางปุ่มควบคุมต่างๆให้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับของตัวกล้อง อีกทั้งยังให้การตอบสนองที่ดีในการกดใช้งานได้อย่างน่าประทับใจ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสมดุลในการจับถือใช้งานได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อใช้กับเลนส์ไวแสงสูงของ Carl Zeiss ที่มีขนาดน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก โครงสร้างหลักของตัวกล้องผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอยที่แข็งแรงแต่มีน้ำหนัก เบา พร้อมทำการซีลรอยต่อต่างๆ รอบตัวกล้องไว้เป็นอย่างดีเพื่อช่วยป้องกันฝุ่นละอองและความชื้นในขณะใช้งาน ภายใต้สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ หัวปริซึมของกล้องมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษช่วยให้มีความใสสว่างมากเป็นพิเศษ ทำให้ง่ายต่อการมองภาพและปรับโฟกัสได้อย่างสบายตาโดยเฉพาะในสภาพแสงน้อย นอกจากนี้แล้วผู้ใช้ยังสามารถเปลี่ยนกระจกโฟกัสภาพ (Interchangeable Focusing Screen) ได้จากแบบมาตรฐานที่มีมาให้ โดยมีให้เลือกเปลี่ยนใช้งานได้ 2 แบบ ได้แก่ แบบ L-type ซึ่งเป็นแบบตาราง (grid) ที่ง่ายต่อการจัดองค์ประกอบภาพ เพื่อใช้ในการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมหรือแบบ M-type ซึ่งเป็นแบบ “ Super-spherical acute matte” ที่ให้ความสว่างชัดเจนง่ายต่อการปรับโฟกัสภาพ

Sonyยังคงรักษารูปแบบโดยรอบของตัวกล้อง และการจัดวางปุ่มควบคุมต่างๆไว้ในแบบเดิม โดยมีแป้นปรับโหมดขนาดใหญ่สะดวกต่อการปรับเลือกโหมดถ่ายภาพหลักของกล้องได้ อย่างแม่นยำไม่โยกคลอน ตั้งแต่โหมดบันทึกภาพแบบอัตโนมัติ โหมดโปรแกรม (P) โหมดปรับต่ำช่องรับแสงเอง (A) และโหมดปรับตั้งความเร็วชัตเตอร์เอง (S) และโหมดโปรแกรม (P) ส่วนการปรับตั้งค่าเมนูการทำงานต่างๆ ของตัวกล้องก็ทำได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้จอยสติ๊กโยกแบบสี่ทิศทางขนาดเล็ก แต่ให้ตอบสนองต่อการโยกปรับได้อย่างสะดวกแม่นยำ ส่วนจอ LCD ขนาดเล็กด้านบนของตัวกล้องใช้แสดงให้เห็นเฉพาะค่าการเปิดรับแสง และข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ที่จำเป็นในการถ่ายภาพ โดยมีเครื่องหมายและสัญลักษณ์ กำกับให้เห็นอย่างชัดเจนทำให้ง่ายในการกดเลือกใช้งานได้โดยตรงทันทีโดยไม่ ต้องมานั่งนึกให้เสียเวลาว่าฟังก์ชันที่ต้องการปรับนั้นอยู่ตรงไหน

ระบบปรับโฟกัสอัตโนมัติของ A 900 ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยมีการจัดวางจุดโฟกัสแบบกระจาย ทั่วทั้งกรอบภาพแบบ 9 จุด และจุดโฟกัสเสริมอีก 10 จุด ซึ่งทาง Sony กล่าวว่าจะช่วยให้ระบบการปรับโฟกัสมีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้นกว่า เดิม อย่างไรก็ตามอีกจุดหนึ่งที่เป็นเรื่องปกติจนเป็นเอกลักษณ์ของกล้อง Sony ไปแล้วก็คือเสียงการทำงานของระบบโฟกัสอัตโนมัติที่มีให้ได้ยินค่อนข้าง ชัดเจน รวมถึงเสียงชัตเตอร์ที่ให้เสียงหนักแน่นคล้ายกับเสียงชัตเตอร์ของกล้องขนาด กลางมากกว่ากล้องแบบ SLR ตามปกติทั่วไป นอกเหนือจากนั้นแล้ว กล้อง A900 ก็สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมน่าประทับใจ โดยเฉพาะในส่วนของจอ LCD ความละเอียดสูงขนาด 921,000 พิกเซล ที่ให้ความคมชัดใสเคลียร์ แม้จะดูภาพจากจอภายใต้แสงสว่างกลางแจ้งภาพบนจอก็ยังคงดูง่าย ชัดเจนสมจริง ซึ่งมีประโยชน์มากในการตัดสินใจเลือกค่าการเปิดรับแสงที่เหมาะสมถูกต้องตาม ความต้องการ

อีกทั้งกล้อง A900 นั้นจัดได้ว่าเป็นกล้อง DSLR แบบ full-frame รุ่นเดียวที่มีการบรรจุระบบป้องกันการสั่นไหวไว้ในตัวกล้อง ซึ่งทาง Sony ได้มีการเรียกชื่อใหม่ว่าระบบ SteadyShot INSIDE ที่กล้องจะทำการชดเชยการเกิดการสั่นไหวที่เกิดขึ้นได้ 2.5 ถึง 4 เท่า จากค่าการเปิดรับแสงปกติ อีกทั้งยังสามารถใช้ร่วมกับเลนส์รุ่นใหม่ๆ ของ Sony ได้ทุกตัว รวมถึงเลนส์รุ่นเก่าของ Konica Minolta และเลนส์รุ่น DT ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับกล้องดิจิทัลที่ใช้เซ็นเซอร์ภาพแบบ APS-C ได้โดยกล้องจะทำการลดค่าความละเอียดภาพลงเป็น 11 ล้านพิกเซล

ประสิทธิภาพที่วางใจได้
กล้อง A900 สามารถให้ภาพถ่ายที่มีรายละเอียดครบถ้วนได้อย่างน่าประทับใจโดยมีการไล่โทน สีในภาพช่วยให้ภาพดูนุ่มนวล สบายตา มี Noise เกิดขึ้นให้เห็นในภาพต่ำมากแม้จะใช้ค่า ISO สูงมากๆ ก็ตาม แน่นอนว่าความละเอียดของภาพนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของคุณภาพโดยรวมของภาพ ถ่ายทั้งหมด เทคนิคในการบันทึกภาพที่สมบูรณ์แบบและประสิทธิภาพของเลนส์ที่ใช้นั้นจึงมี ความจำเป็นมากต่อคุณภาพที่แท้จริงของภาพ ซึ่งเลนส์ Carl Zeiss Planar ขนาด 85 มม. f/1.4 ที่ถูกนำมาใช้ทดสอบในครั้งนี้ก็แสดงประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมออกมาอย่าง ชัดเจน โดยให้ภาพถ่ายที่มีความคมชัดทั่วทั้งกรอบภาพ อีกทั้งยังสามารถเก็บรายละเอียดของภาพทั้งในส่วนมืดและสว่างได้อย่างครบถ้วน สวยงาม สึ่งที่สร้างความประทับใจให้เห็นอย่างชัดเจนในการใช้งานจริงก็คือ ระบบการทำงานที่รวดเร็วไม่ซับซ้อนทำให้ง่ายต่อการใช้งานโดยเฉพาะในส่วนของ ระบบวัดแสงที่แม่นยำแทบทุกสภาพแสง ซึ่งคงต้องยกความดีให้กับระบบประมวลผลภาพรุ่นใหม่แบบ Dual Bionz ที่ใช้ชิปประมวลผลถึงสองตัวช่วยกันทำการประมวลผล ช่วยให้สามารถบันทึกภาพต่อเนื่องได้เร็วถึง 5 ภาพต่อวินาที โดยภาพจะถูกจัดเก็บไว้ในการ์ดแบบ CF การ์ด หรือเมโมรี่สติกของSonyก็ได้

กล้อง A900 จึงเป็นกล้อง DSLR แบบ Full-Frame ระดับมืออาชีพ ที่มีความโดดเด่นจากประสิทธิภาพของเซ็นเซอร์ความละเอียดสูงควบคู่ไปกับ คุณภาพการผลิตอันยอดเยี่ยม ทำให้นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนของ Sony ในการก้าวเข้ามาสู่ตลาดของกล้องถ่ายภาพระดับมืออาชีพอย่างเต็มตัวด้วยความ มั่นใจ

SteadyShot INSIDE
Sony ทำการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหวแบบ SteadyShot เพื่อนำมาใช้กับเซ็นเซอร์แบบ full-frame ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จอ LCD
จอ LCD ขนาด 3 นิ้ว มีความละเอียดขนาด 921,000 พิกเซล ให้ภาพที่คมชัดและมีสีสันสมจริงเช่นเดียวกับภาพถ่ายที่ถูกบันทึกออกมา อีกทั้งยังถูกเคลือบผิวเพื่อป้องกันการเกิดแสงสะท้อนเอาไว้อีกด้วย

เลนส์
กล้อง A900 นั้นสามารถนำเอาเลนส์ “ดิจิทัล” ที่ถูกออกแบบ
เพื่อใช้กับกล้องรุ่น A200, A350 และ A700 ได้โดยกล้องจะทำการดร็อปเซ็นเซอร์ให้โดยอัตโนมัติ

สีสัน
เช่นเดียวกับกล้อง DSLR รุ่นอื่นจาก Sony กล้อง A900 ถ่ายทอดสีสันได้อย่างสมจริงและเข้มข้น โทนสีที่แสดงในภาพนั้นเป็นข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้

ความละเอียดภาพ
กล้อง A900 สามารถถ่ายทอดรายละเอียดของภาพออกมาได้อย่างน่าประทับใจ เลนส์ Carl Zeiss นั้นก็มีคุณภาพที่ช่างภาพทุกคนใฝ่ฝัน

Noise
ระบบประมวลภาพรุ่นใหม่แบบ Dual Bionz ให้ภาพที่มีโทนสีสวยงามปราศจาก Noise ให้เห็น โดยเฉพาะเมื่อใช้ค่า ISO ในช่องระหว่าง ISO 100-200

ภาพถ่ายกลางแจ้ง
กล้อง A900 มีระบบวัดแสงที่สามารถรับมือกับสภาพแสงในรูปแบบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้ภาพถ่ายมีค่าเปิดรับแสงที่ถูกต้องแม่นยำ แม้ในตัวแบบในภาพจะได้รับแสงสว่างที่ไม่เท่ากันทั้งภาพก็ตาม

สีผิว
กล้อง A900 สามารถบันทึกโทนสีผิวได้สวยงามอย่างน่าทึ่ง
โดยให้โทนสีที่ดูดีไม่ซีดขาว อีกทั้งยังมีความนุ่มนวลเต็มไปด้วยรายละเอียด ดูดีเป็นธรรมชาติ

ภาพถ่ายในร่ม
ระบบไวท์บาลานซ์อัตโนมัติ ของ A900 ให้ภาพถ่ายที่มีสีสันสดใสเป็นธรรมชาติ พร้อมรายละเอียดของภาพที่ครบถ้วนรวมถึงมีโทนภาพที่นุ่มนวลได้อย่างน่าประทับ ใจ