Nikon D3 สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการกล้องอยู่ไม่น้อยเมื่อมันถูกเปิดตัวออกมา มันเป็นกล้อง DSLR แบบเต็มเฟรมตัวแรกของ Nikon หลังจากปล่อยให้ Canon ครองตลาดกล้องประเภทนี้เพียงเจ้าเดียวอยู่เสียนาน แม้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลของมันจะสู้ไม่ได้กับ 21 ล้านพิกเซลของ Canon EOS 1Ds Mk III แต่มันก็ชนะในเรื่องของความสามารถในการถ่ายด้วยค่า ISO ที่สูงและความเร็วในการถ่ายต่อเนื่องที่เร็วกว่า ที่สำคัญก็คือราคาที่ถูกกว่าราคาตั้งของ Canon ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนั้นสามารถนำมาซื้อเลนส์คุณภาพดีๆ ได้อีกสองตัว ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ซูมคุณภาพเยี่ยมตัวใหม่อย่าง 24 – 70 มม.หรือ 14 – 24 มม. ที่เราได้ทำการทดสอบไปพร้อมกับกล้อง D3 แต่อย่างไรก็ตาม D3 ก็ยังเป็นกล้องที่มีราคาแพงเกินความสามารถของตากล้องหลายๆ คน
นั่นเป็นเหตุให้ D700 เกิดขึ้นมา สิ่งที่มันมีเหมือนกับ D3 คือเซ็นเซอร์แบบเต็มเฟรมความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่อยู่ในบอดี้ขนาดเล็กที่เท่ากับ D300 จะมีความสูงมากกว่าเล็กน้อยก็ตรงส่วนของกระจกหกด้าน นอกเหนือจากราคาและขนาดแล้ว ความแตกต่างอีกอย่างก็คือ ความเร็วในการถ่ายต่อเนื่อง แม้ D700 จะถ่ายได้ไม่เร็วถึง 8 fps เหมือน D3 แต่มันถ่ายได้ 5 fps ซึ่งก็จัดว่าไม่เลว ถ้าอยากให้ถ่ายได้เร็ว 8 fps ก็เพียงแต่ซื้อแบตเตอรี่กริปรุ่น MB-D10 มาเพิ่มเท่านั้น อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือมันมีระบบทำความสะอาดเลนส์ซึ่ง Nikon ค่อนข้างจะช้ากว่าผู้ผลิตรายอื่นในเรื่องของคุณสมบัตินี้ แต่อย่าลืมว่าโปรแกรม Nikon Capture NX (ซึ่งขายแยกในที่สุด) นั้นมีคุณสมบัติในการกำจัดร่องรอยของฝุ่นผงในภาพ (dust-off) ให้หมดไปโดยอัตโนมัติ
เราทดสอบ D700 กับเลนส์ ‘N’ 24 - 70มม. f/2.8 ตัวใหม่ของ Nikon ราคาประมาณ 1,000 ปอนด์ซึ่งนับว่าไม่น้อย แต่ก็ไม่ต่างกับเลนส์ระดับโปรตัวอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายกันเท่าใดนัก เลนส์ตัวนี้มีความพิเศษหลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือมันมีรูรับแสงสูงสุดคงที่ที่ f/2.8 อีกอย่างหนึ่งคือความคมชัดที่เราทดสอบแล้วว่ายอดเยี่ยมจากขอบหนึ่งจรดอีกขอบ หนึ่งที่ทุกช่วงโฟกัสและไร้ซึ่งสีเพี้ยน (chromatic aberration) แต่สิ่งที่ไม่น่าพิศมัยนักก็คือขนาดและน้ำหนักของมัน ซึ่งต่างกับ D3 ที่สูงพอเหมาะสำหรับการถือถ่ายและก็มีน้ำหนักพอดีกับเลนส์ แต่ D700 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและเบากว่านั้นทำให้น้ำหนักเอียงไปอยู่ที่เลนส์ด้านหน้า มากกว่า
คุณภาพของรูปที่ได้
การลงทุนกับเลนส์ดีๆเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับกล้องตัวนี้เพราะผลลัพธ์ที่ ออกมานั้นจัดว่ายอดมาก ที่น่าประทับใจที่สุดซึ่งมันทำได้ดีไม่แพ้ D3 ก็คือ เริอง Noise ที่ไม่มีปรากฏให้เห็นแม้เพียงเล็กน้อยในภาพที่ใช้ ISO สูงมากๆ ที่ขนาด ISO 1600 ซึ่งกล้อง DSLR ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องNoise เกิดขึ้น แต่ D700 ก็ยังให้ภาพที่สวยเนียนอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งดูเหมือนกับถ่ายด้วย ISO 200 ถ้าเป็นกล้องตัวอื่น และแม้จะถ่ายด้วย ISO 6400 ภาพก็ยังออกมาดี ถ้าเป็นกล้องตัวอื่นก็น่าจะเทียบได้กับ ISO 1600 แต่รายละเอียดปลีกย่อยที่มองข้ามไปไม่ได้เลยของ D700 ก็คือการถ่ายทอดโทนสีที่ไล่ระดับได้อย่างนุ่มนวล ภาพไม่มีร่องรอยของ Noise หรือการเกิด Artifacts แม้แต่น้อย นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องการควบคุมช่วงความชัด ในภาพที่เมื่อใช้เลนส์ไวแสงอย่างเลนส์ขนาด 24 - 70มม. f/2.8 บวกกับความได้เปรียบของเซ็นเซอร์แบบเต็มเฟรม ทำให้คุณสามารถควบคุมความเบลอของฉากหลังได้ด้วยรายละเอียดแบบเดียวกับที่ทำ ได้ในกล้องฟิล์มที่ดูเหมือนเราจะลืมมันไปแล้ว โดยตัวแบบจะเด่นชัดขึ้น ให้ความรู้สึกของภาพที่งดงามน่าประทับใจ
ข้อได้เปรียบอีกอย่างคือขนาดของเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นทำให้ไดนามิคเรนจ์ เพิ่มขึ้นด้วยแม้ว่าจะสังเกตได้ไม่เด่นชัดเท่าใดนัก ท้องฟ้าที่สว่างจ้าก็สามารถสร้างปัญหาให้กับ D700 ได้ไม่แพ้กล้องตัวอื่นๆ ดังนั้นถ้าเมื่อใดที่คุณไม่แน่ใจก็ควรจะถ่ายเป็นแบบ RAW แม้การถ่ายแบบ JPEG จะให้ความคมชัดไม่แพ้แบบ RAW ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากสำหรับกล้องตัวนี้แต่การถ่ายเป็น RAW ก็ให้รายละเอียดและไฮไลต์ที่ดีกว่าในบางจุด
อีกอย่างที่น่าใช้ก็คือโหมด Active D-Lighting ที่พัฒนามากจากฟังก์ชั่น D-Lighting ในโปรแกรมปรับแต่งภาพของ Nikon ซึ่งช่วยปรับให้บริเวณที่มืดเกินไปสว่างขึ้นโดยไม่มีผลต่อโทนกลางหรือไฮไลต์ ส่วนเวอร์ชั่น Active ที่นำมาใส่ในกล้องนั้นได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกซึ่งกล้องจะปรับการรับแสงโดย คงไว้ซึ่งรายละเอียดในไฮไลต์หลังจากนั้นจึงทำการเพิ่มความสว่างให้กับส่วน ที่เป็นเงา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะเห็นได้ไม่ชัดเจนไปเสียทุกครั้ง
การทำงานของ D700 นั้นคล้ายกับ D300 มาก มันเป็นกล้องที่แข็งแรงแต่สำหรับคนมือใหญ่แล้วนั้นอาจจะวางนิ้วได้เพียงสาม นิ้วเท่านั้น แต่ปุ่มปรับอย่างอื่นล้วนทำงานได้ดีมาก D700 ไม่ใช้ปุ่มปรับโหมดแบบที่เห็นตามปกติ คนออกแบบคงคิดเอาไว้แล้วว่าตากล้องมักจะมีโหมดที่เลือกใช้เป็นประจำอยู่แล้ว และคงไม่เปลี่ยนโหมดทุกห้านาที ส่วนโหมดวัดแสงนั้นสามารถเลือกได้จากปุ่มปรับทางขวาของช่องมองภาพและโหมด โฟกัสนั้นก็ปรับได้ด้วยปุ่มด้านล่างของปุ่มปรับสี่ทิศทาง
โหมดโฟกัส
โหมดการโฟกัสของ D700 นั้นทำงานได้สลับซับซ้อนจนถึงขั้นชวนให้สับสน เพราะว่ามันทำงานด้วยระบบ 51-จุด ซึ่งกล้องจะเป็นผู้ควบคุมเองโดยอัตโนมัติ แต่คุณก็สามารถกำหนดจุดโฟกัสแบบแมนวลได้ ถ้า 51-จุดมากเกินไปสำหรับคุณ ก็ยังมีแบบ 21-จุด และ 9-จุดให้เลือก หรือสุดท้ายก็คือเลือกใช้โฟกัสเฉพาะจุดตรงกลางก็ได้ซึ่งน่าจะใช้ง่ายที่สุด
จอ LCD 3-นิ้วนั้นทำงานได้ดีเยี่ยม ต้องขอบคุณความละเอียด 920,000 จุดของมัน นอกจากนั้น D700 ยังมีโหมด Live View สองชนิด คือสำหรับการถ่ายด้วยมือและสำหรับการถ่ายโดยใช้ขาตั้ง แต่ที่อาจจะทำให้คุณสับสนได้ก็คือตอนนี้กล้องกำลังทำการโฟกัสหรือทำการถ่าย จริงกันแน่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า D700 เป็นกล้องที่ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่เราก็มีคำถามสองสามข้อ เช่น จะเกิดอะไรขึ้นกับ D300 และเลนส์ DX ที่สูงทั้งคุณสมบัติและราคา อีกคำถามก็คือ Nikon ไม่สามารถทำให้ราคาของ D700 ถูกกว่านี้ได้หรือ เพราะว่ามันเป็นเวลาสามปีมาแล้วที่ Canon ผลิต EOS 5D ซึ่งเป็นกล้องแบบเต็มเฟรมความละเอียด 12 ล้านพิกเซลออกมา และตอนนี้ 5D มือสองพร้อมเลนส์ IS USM 24 - 105มม. f/4 ก็ขายกันในราคาที่ถูกกว่าบอดี้ของ D700
D700 ราคาถูกกว่าและขนาดกระทัดรัดกว่า D3 มันเป็นกล้องคุณภาพเยี่ยมที่ให้ผลลัพธ์ที่สุดพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายด้วยค่า ISO สูง
คุณภาพของรูปที่ได้จากกล้องแบบเต็มเฟรมอย่าง D700 นั้นงดงามมาก แต่ภาพที่ได้จากเซ็นเซอร์ชนิดนี้เมื่อเทียบกับภาพที่ได้จากเซ็นเซอร์ APS-C ในกล้อง DSLR ตัวอื่นแล้วนั้นมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
จอ LCD ขนาด 3 นิ้ว
ไม่เฉพาะขนาดของมันเท่านั้นที่น่าประทับใจแต่ยังมีความละเอียดที่ 920,000 จุดด้วย ภาพที่แสดงให้เห็นนั้นมีคุณภาพเยี่ยมไร้ที่ติ
โหมด AF
ถ้าความสามารถของระบบโฟกัส 51-จุดของ D700 นั้นมากเกินไปสำหรับคุณ คุณน่าจะดีใจที่คุณสามารถเลือกโหมดโฟกัสที่ด้านหลังของกล้องได้ทันทีโดยปรับ ให้เป็นโหมดโฟกัสตรงจุดกลางเท่านั้นก็ได้
การตั้งค่าในการถ่าย
ปุ่มต่างๆในกลุ่มนี้มีไว้สำหรับปรับคุณภาพของรูป ค่าไวท์บาลานซ์ และค่า ISO ส่วนปุ่มหมุนที่อยู่ถัดลงไปมีไว้สำหรับโหมดการถ่าย การออกแบบทำออกมาอย่างมีเหตุผลและจดจำได้ง่าย
ไดนามิคเรนจ์
D700 ไม่มีปัญหาเรื่องการเก็บรายละเอียดของไฮไลต์ในภาพนี้ แต่ถ้าท้องฟ้าสว่างมากก็มีโอกาสที่รายละเอียดบางอย่างจะหายไปได้เหมือนกัน
เลนส์
ไม่มีปัญหาเรื่องสีเพี้ยนให้เห็นเลย (chromatic aberration) ไม่ว่าจะเป็นเพราะเลนส์ Nikkor 24 – 70มม. คุณภาพเยี่ยมหรือเพราะเฟิร์มแวร์ของกล้องก็ตาม
รายละเอียด
D700 เก็บรายละเอียดในภาพได้อย่าง ‘ไม่ต้องเหนื่อยแรง’ คือไม่มี การเกิด Artifacts หรือNoise รวมถึงขอบภาพที่ไม่คมชัดให้เห็น
ภาพกลางแจ้ง
ท้องฟ้าที่จ้าเกินไปยังเป็นสิ่งที่คุณต้องระวัง แต่นอกจากนั้นแล้ว D700 ถือเป็นกล้องที่ถ่ายสนุก เลนส์ไวแสงขนาด f/2.8 บวกกับเซ็นเซอร์แบบเต็มเฟรมช่วยให้การควบคุมช่วงความชัด ทำได้เป็นอย่างดีช่วยทำให้ตัวแบบมีความคมชัดเป็นพิเศษ
โทนสีผิว
ความสามารถในการถ่ายทอดโทนสีและการทำงานที่ค่า ISO สูงๆได้ยอดเยี่ยมทำให้มันเหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลด้วยแสงธรรมชาติที่แม้ จะมีน้อยก็ตาม เพราะเซ็นเซอร์เป็นแบบเต็มเฟรมจึงได้เปรียบในการควบคุมมิติความลึกของภาพ
ภาพถ่ายในอาคาร
ถ้าใช้ ISO 6400 ภาพที่ได้จะเริ่มมี Noise ปรากฏให้เห็น แต่ที่ ISO 1600 นั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด มีร่องรอย Noise เพียงบางๆให้เห็นในใบไม้สีเขียวในภาพนี้ซึ่งใช้ ISO 1600 แต่นอกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร
คุณสมบัติเด่น
แม้จะถ่ายต่อเนื่องได้ไม่เร็วเท่า D3 แต่ความเร็วของมันก็อยู่ที่ 5fps ซึ่งเร็วกว่ากล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ APS-C ทั้งหลายหรือแม้แต่ Canon EOS 5D เองก็ตาม
สมรรถภาพ
ถ่ายทอดรายละเอียดและสีสันได้ยอดเยี่ยม ไม่มี Noise ให้เห็นเลยแม้จะถ่ายที่ ISO สูงมากนั้นน่าทึ่งมาก
การใช้งาน
ซูมแบบเต็มเฟรมของ Nikon นั้นขนาดค่อนข้างใหญ่และหนัก แต่ D700 นั้นมีขนาดที่เล็กลงทำให้ดูเหมือนจะไม่ได้สมดุลย์
คุณภาพการผลิต
ช่องเก็บการ์ดหน่วยความจำและเก็บแบตเตอรี่น่าจะทำให้แข็งแรงกว่านี้ นอกจากนั้นไม่มีอะไรให้ติ
ความคุ้มค่าเงิน
D700 นั้นราคาถูกกว่า D3 ค่อนข้างมากและภาพที่ได้ก็สมราคา แต่ Canon EOS 5D ก็ยังถูกกว่าอยู่ดี
คำตัดสินของ Digital Camera
93%
D700 จัดเป็นกล้องระดับโปรคุณภาพเยี่ยมที่ให้รูปถ่ายที่คมชัดจนต้องประหลาดใจ ไม่มี Artifact ใดๆหลุดเข้ามาให้เห็น ถ่ายด้วยค่า ISO สูงได้ดีมากจนคุณต้องทึ่ง แต่บรรดาผู้ที่ชื่นชอบกล้องแบบเต็มเฟรมอาจจะหวังไว้ว่ากล้องน่าจะมีราคา ถูกกว่านี้
คู่แข่ง
Nikon D3:
D700 ทำให้ D3 ดูแพงไปถนัดใจ แต่ D3 มีความเร็วในการถ่ายต่อเนื่องที่สูงกว่าและการใช้งานที่ดีกว่า 95%
Canon EOS 5D:
แม้จะมีขายมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังทำงานได้ดี และคุณอาจจะหาแหล่งซื้อราคาถูกได้ 93%